วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชัยชนะครั้งที่ ๔ (ตอน ชนะองคุลิมาล)

ชัยชนะครั้งที่ ๔ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระเทพญาณมหามุนี
(ตอน ชนะองคุลิมาล)

มีบทสรรเสริญพุทธคุณในพุทธชัยมงคลคาถา บทที่ ๔ ว่า  
อุกฺขิตฺตขคฺ คมติหตฺถ สุทารุณนฺตํ
ธาวนฺติโย ชนปถงฺ คุลิมาลวนฺตํ
อิทฺธีภิสงฺขตมโน ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ 
พระผู้มีพระภาคเจ้าจอมมุนี ทรงใช้ฤทธิ์ทางใจ ให้เป็นอิทธาภิสังขาร 
ทรงชนะองคุลีมาล ผู้แสนโหดเหี้ยมร้ายกาจ มีฝีมือฉกรรจ์ 
ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ สิ้นทาง ๓ โยชน์ 
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น 
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน”

       เรื่องของพระองคุลีมาลนี้ เป็นแรื่องราวที่มีสาระและแง่คิดมุมมองที่น่าศึกษา สามารถนำมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้ดีมาก ครั้งนี้ จะนำมาเล่าโดยตัดเฉพาะบางตอนที่พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวไว้ จะได้เป็นการเพิ่มเติมศรัทธาปสาทะในพระบรมศาสดา ว่าแม้องคุลีมาลที่คนทั้งเมืองเกรงขาม ได้ยินเพียงชื่อก็ขนลุกขนพอง ยังยอมแพ้พระผู้มีพระภาคเจ้า กลับจิตกลับใจมาบวชจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

  องคุลีมาลเป็นบุตรพราหมณีมันตานี ซึ่งเป็นภรรยาของปุโรหิต เกิดในฤกษ์ของดาวโจร บิดาจึงคิดจะฆ่าลูกตั้งแต่แรกเกิดเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม แต่พระราชาทรงเมตาให้เลี้ยงไว้ พร้อมตั้งชื่อทารกว่า อหิงสกุมาร (ผู้ไม่เบียดเบียนใคร)
        เมื่อเจริญวัยขึ้น มารดาบิดาได้ส่งไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา เนื่องจากประพฤติตนดีจึงเป็นที่รักของอาจารย์ แต่ถูกลูกศิษย์คนอื่นๆใส่ความว่า อหิงสกุมาร ดีแต่ต่อหน้าอาจารย์ ลับหลังก็เกะกะเกเร อาจารย์จึงคิดจะกำจัดด้วยการสั่งให้ไปฆ่ามนุษย์ นำนิ้วมือมา ๑,๐๐๐ องคุลี แล้วอาจารย์จะสอนวิชาที่จะทำให้สำเร็จเป็นใหญ่ในโลก
        แม้เป็นคนฉลาดแต่ไม่ได้เฉลียวใจ มุ่งแต่จะเรียนวิชา จึงเข้าป่าไปดักฆ่ามนุษย์ แล้วร้อยนิ้วมือเป็นพวงมาลัยคล้องคอ ชาวบ้านจึงตั้งฉายาว่า องคุลีมาลโจร ใครได้ยินชื่อนี้เป็นขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน พวกชาวบ้านจึงร้องทุกข์ต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล

        ฝ่ายนางพราหมณีผู้เป็นมารดารู้ว่า ลูกชายสุดที่รักของตนกำลังจะถูกฆ่า ด้วยความรักลูก นางจึงรีบเดินทางออกนอกเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อบอกข่าวให้ลูกหนีไปโดยเร็ว

        ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลก เห็นองคุลีมาลปรากฏในข่ายพระญาณ แล้วรู้ไปต่อว่า องคุลีมาลจะเป็นอสีติมหาสาวกองค์สุดท้ายของพระองค์ เช้าวันนั้นจึงเสด็จไปโปรดองคุลีมาล
        ขณะนั้นองคุลีมาลกำลังเงื้อดาบวิ่งไล่มารดาหมายจะตัดนิ้วมือให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว เพราะได้มาแล้ว ๙๙๙ นิ้ว พระบรมศาดารู้ว่าองคุลีมาลกำลังจะทำมาตุฆาต จึงแสดงพระองค์ในระหว่างคนทั้งสองนั้น ทำให้องคุลิมาลเบี่ยงเบนความสนใจ วิ่งเข้าใส่พระพุทธองค์ทันที
  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ทำให้องคุลีมาลวิ่งตามไม่ทัน ทั้งที่พระองค์ทรงเสด็จดำเนินไปตามปกติ


        พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบันดาลให้เป็นแม่นํ้าบ้าง เป็นหล่ม เป็นเลนบ้าง ขวางหน้าองคุลีมาล เป็นดังนี้ตลอด ๓ โยชน์ องคุลีมาลรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า คิดว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยเป็นเช่นนี้  เมื่อก่อน แม้ช้างม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เรายังวิ่งตามได้ทัน แต่ครั้งนี้เราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะที่เดินตามปกติได้” จึงหยุดยืนพลางร้องบอกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “สมณะ หยุด สมณะ หยุด

  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด”
        องคุลีมาลคิดว่า “สมณศากยบุตรเป็นคนพูดจริง แต่สมณะรูปนี้กำลังเดินอยู่แท้ๆ กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว” จึงตะโกนถามว่า “ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินอยู่ กลับบอกว่าหยุดแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่หยุด ที่ท่านกล่าวถึงข้าพเจ้าผู้หยุดแล้วว่า ไม่หยุด การหยุดของท่านเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดนั้น เป็นอย่างไร”
        พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบว่า “ดูก่อนองคุลีมาล เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่า หยุดแล้ว ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า ยังไม่หยุด ถึงแม้ว่าท่านหยุดในบัดนี้ก็ดี แต่ท่านจะต้องวิ่งต่อไปในอบายภูมิในภายหน้า”

        องคุลีมาลฟังดังนั้น คิดว่า “เห็นทีสมณะนี้คงเป็นใหญ่ในโลก ทรงเสด็จมาโปรดเรา” จึงทิ้งดาบลงเหว แล้วทูลของบรรพชากับพระพุทธองค์
       พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านั้นเพศฆราวาสพลันหายไป ไตรจีวรและอัฐบริขาร เกิดขึ้นกับองคุลีมาลทันที เพราะท่านได้สั่งสมบุญในส่วนนี้มา จากนั้นก็ตามเสด็จพระพุทธองค์กลับวัดพระเชตวัน

  ขณะเดียวกันนั่นเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จออกจากกรุงสาวัตถี ด้วยขบวนม้าประมาณ ๕๐๐ เข้าไปในพระอาราม เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลถึงพระราชกรณียกิจที่จะต้องไปปราบองคุลีมาล
        พระพุทธองค์ตรัสว่า “มหาบพิตร ถ้ามหาบพิตรทอดพระเนตรเห็นองคุลีมาลผู้ปลงผม และหนวดครองผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจักพึงทำกับเขาอย่างไร”
  พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงไหว้ พึงลุกรับ พึงเชื้อเชิญด้วยอาสนะ พึงบำรุงด้วย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานเภสัชบริขาร หรือพึงจัดการรักษาคุ้มครองป้องกันอย่างเป็นธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ องคุลีมาลนั้นเป็นคนทุศีล มีบาปธรรม จักมีความสำรวมด้วยศีลปานนี้เชียวหรือ”

  พระองค์ทรงชี้นิ้วไปทาง พระองคุลีมาล ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล พลางตรัสบอกว่า “มหาราช นั่นไงองคุลีมาล” พระราชาทรงตกพระทัย พระโลมชาติชูชัน เหล่าทหารที่ติดตามถึงกับขนลุกชูชัน สะดุ้งหวาดหวั่นไปตามๆกัน
        พระบรมศาสดาตรัสว่า “อย่าทรงกลัวเลยมหาบพิตร องคุลีมาลเป็นผู้ไม่มีภัยต่อใครๆ อีกต่อไปแล้ว” เมื่อพระราชาทรงหายกลัว ได้เสด็จเข้าไปสนทนากับพระเถระว่า “ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าจงบำเพ็ญสมณธรรมเถิด ข้าพเจ้าจักทำความขวนขวายในปัจจัย ๔ แด่พระคุณเจ้าเอง” พลางเปลื้องผ้าคาดเอวถวายพระองคุลีมาล

        พระราชาตรัสชมเชยว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริงหนอ 
ที่พระพุทธองค์ทรงทรมานองคุลีมาลได้ 
ทรงยังบุคคลที่ใครๆ สงบไม่ได้ ให้สงบได้ 
ทรงยังบุคคลที่ใครๆ หยุดไม่ได้ ให้หยุดได้ 
เพราะหม่อมฉันไม่สามารถจะทรมานองคุลีมาลได้ แม้ด้วยอาชญา 
แต่พระพุทธองค์ทรงทรมานได้ โดยไม่ต้องใช้ศัสตราใดๆ 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันดีพระทัย จะขอทูลลาไปในบัดนี้”

  เราจะเห็นว่า การที่บุคคลใดจะมีวีถีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลายนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก กว่าชีวิตจะก้าวข้ามพ้นอุปสรรค จากความทุกข์ยาก ไปสู่ความสุขอันเป็นอมตะนิรันดร์นั้น บางครั้งอาจเคยก้าวพลาดจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้องอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นประทีปเอกของโลก ชีวิตจะก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
  นั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงทำให้พระองคุลีมาลหยุดได้ จนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นฝึกใจให้หยุดให้นิ่งกัน ต้องอบ ต้องรม บ่มกันไป สั่งสมกันไป จนกว่าจะได้บรรลุธรรมกันทุกๆ คน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น