วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชัยชนะครั้งที่ ๘ (ตอน ชนะพกาพรหม ตอนที่๒)

ชัยชนะครั้งที่ ๘ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระเทพญาณมหามุนี
(ตอนที่ ๒ ชนะพกาพรหม)

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน สาสปสูตร ว่า
 “นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ 
เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน 
บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ออกจากนครนั้น 
โดยล่วงไป ๑๐๐ ปีต่อ ๑ เมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป 
เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่ามากนัก ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป” 

  ๑ กัปยาวนานอย่างนี้แล บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สังสารวัฏกำหนดที่สุดของเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่ได้
  ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวที่เธอจะเบื่อหน่าย ในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัดเพื่อให้พ้นทุกข์”
พระพุทธเจ้า เมื่อเสด็จไปพรหมโลก ทรงไปสู่พรหมโลกด้วยกายเนื้อ เพื่อโปรดพกาพรหม ที่มีความเห็นผิดว่า พรหมโลกเป็นภพที่เที่ยงแท้ที่สุด ทรงเปิดเผยให้รู้ว่า พรหมโลกไม่ได้ยั่งยืนอย่างที่เข้าใจ เพียงแต่มีอายุยืนนานเป็นกัปๆ เท่านั้น และมีเพียงพระนิพพานเท่านั้นที่เที่ยงแท้ เป็นบรมสุขอย่างแท้จริง ซึ่งการเสวยสุขในพรหมโลกนั้น แม้พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกหลายพระองค์แล้ว พวกพรหมก็ยังไม่จุติเลย
อายุในพรหมโลกของผู้ได้
ปฐมฌานยืนนานถึง ๑ กัป
ทุติยฌาน ๘ กัป
ตติยฌาน ๖๔ กัป
จตุตถฌาน ๕๐๐ กัป



ในบรรดาพรหมผู้บรรลุ จตุตถฌาน หากเจริญสมาบัติมี อากาสานัญจายตนะ เป็นต้น จนไปถึงขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จะมีอายุยืนถึง ๘๔,๐๐๐ กัปทีเดียว พวกพรหมเสวยสุขยาวนานมาก ยาวนานกว่าชาวสวรรค์มากมายหลายเท่า
ส่วนมนุษยโลกของเราไม่ต้องพูดถึง ชีวิตสั้นเช่นเดียวกับหยาดนํ้าค้างบนปลายยอดหญ้าฉะนั้น

เมื่อพกาพรหมได้ฟังธรรมเช่นนั้นก็กล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์ เพราะท่านรู้ว่านิพพานที่สัตว์ถึงไม่ได้โดยความเป็นอย่างนั้น ถ้อยคำของท่านอย่าได้ว่างเสียเลย นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะ คือ เห็นไม่ได้ด้วยจักษุวิญญาณ เป็นอนันตะไม่มีที่สุด หรือหายไปจากความเกิดขึ้นและเสื่อมไป มีรัศมีในที่ทั้งปวง อันสัตว์ถึงไม่ได้ โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ โดยความที่ไฟเป็นไฟ โดยความที่ลมเป็นลม โดยความที่เหล่าสัตว์เป็นเหล่าสัตว์ หรือโดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง ถ้าท่านรู้มากกว่าเรา หรือเก่งกว่าเราแล้วละก็ เราจะหายตัวไปจากท่าน หากท่านมีอานุภาพจริง ก็จงตามหาเราให้พบ”

  พระบรมศาสดา ทรงรับคำท้าว่า “เอาเถิด หากท่านหายตัวได้ ก็จงหายตัวไปเถิด” เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า แม้พกาพรหมจะหายตัวไปหลบอยู่ที่ไหน ก็ไม่อาจพ้นจากทัสนะของพระพุทธเจ้าได้
       เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เอาล่ะ เราจะหายตัวไปจากท่านบ้าง”
       พกาพรหมกล่าวว่า “ถ้าท่านหายตัวได้ ก็จงหายตัวไปเถิด” 
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์หายไป พวกพรหมจึงมองไม่เห็นพระองค์ ได้ยินแต่เสียงของพระองค์ที่กำลังตรัสอยู่ใกล้ๆ ว่า “เราเห็นภัยในภพและเห็นภพของสัตว์ผู้แสวงหา ที่ปราศจากภพแล้ว ไม่กล่าวยกย่องภพอะไรเลย ทั้งไม่ยังความยินดีให้เกิดขึ้นด้วย”

       จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสเล่าชีวประวัติของพกาพรหม เพิ่มเติมว่า นานมาแล้ว พกาพรหมได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นโทษในกามทั้งหลาย ได้ออกบวชเป็นฤๅษี ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ได้ไปสร้างศาลาอยู่ที่ริมฝั่งแม่นํ้าคงคา
  ท่านปรารถนาจะให้น้ำเป็นทานแก่คน และสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น จึงได้บันดาลให้ท่อนํ้าพุ่งขึ้นจากแม่นํ้าคงคา ให้ตรงไปในทางที่กันดารแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ เล่ม และโคเทียมเกวียนกำลังอัตคัด ขาดแคลนนํ้าในขณะนั้น
       นอกจากนั้น พกาพรหมยังได้ช่วยคนและสัตว์ ให้พ้นจากอำนาจของมหาโจร ด้วยฤทธิ์ของตน อีกทั้งได้ช่วยมหาชนให้พ้นจากอำนาจของพญานาคราชที่ดุร้าย ในชาติที่เป็นฤๅษีมีชื่อว่า เกสวฤๅษี ซึ่งพระองค์ได้เกิดเป็นกัปปะฤๅษี ผู้เป็นศิษย์ของเกสวะฤๅษี และชื่นชมอาจารย์ว่า เป็นผู้มีวัตรดี


       “ดูก่อนพกาพรหม เราย่อมรู้อายุของท่าน อายุของท่านไม่ได้ยืนนานอะไรเลย ท่านยังต้องมีการจุติและการเกิดอีก อายุของท่านไม่ได้มากอย่างที่คิดเลย”
       พวกพรหมทั้งหลาย ต่างอัศจรรย์ใจที่เห็นพุทธานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า พากันกล่าวชมเชยสรรเสริญพระพุทธองค์ และก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครยิ่งกว่า
       ขณะนั้น มารเห็นว่าพวกพรหมจะล่วงวิสัยของตน ก็เข้าสิงพรหมปาริสัชชา อีกผู้หนึ่ง พลางกล่าวห้ามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อท่านรู้อย่างนี้ก็อย่าแนะนำ อย่าสั่งสอน อย่าแสดงธรรมแก่สาวกหรือบรรพชิตทั้งหลาย เชิญท่านเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด อย่าได้สั่งสอนสัตว์เลย เชิญท่านเป็นผู้มักน้อย ตามประกอบความอยู่สบายในชาตินี้เถิด เพราะการไม่พูดเป็นความดี ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์เลย”
       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูก่อนมาร เรารู้จักเล่ห์ของท่าน ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้ ท่านเป็นผู้ไม่มีจิตอนุเคราะห์เกื้อกูล จึงได้ห้ามเราแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่นตามที่เราตรัสรู้ เพราะเกรงว่าจะล่วงอำนาจของท่านไป เราชื่อว่าตถาคตเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อแนะนำแสดงธรรมแก่สาวก ก็ต้องแนะนำแสดงธรรมตามที่เรารู้มา”

       พกาพรหมได้ฟังเรื่องที่พระบรมศาสดาตรัสเล่าถึงอดีตของตน ก็ระลึกชาติได้ตามที่พระพุทธองค์ทรงเล่าให้ฟัง จึงทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง มีอานุภาพมากจริง เป็นผู้เสด็จมาดีทำให้พรหมโลกสว่างไสวด้วยแสงธรรม” จึงยอมละความเห็นผิดที่มีมาแต่เดิมได้
       เราจะเห็นว่า การที่พระองค์ทรงทำให้พกาพรหมละความเห็นผิดนี้ นับเป็นชัยชนะของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่า พรหมโลกนี้ยังไม่เยี่ยม ที่เยี่ยมกว่านั้นยังมีอยู่ ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นเยี่ยม

       พระพุทธองค์ทรงเป็นครูของทั้งมวลมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย กระทั่งพรหมและอรูปพรหม หมู่สัตว์ในกามาวจรภูมิทั้งหมดต้องฟังพระพุทธองค์ ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า เพราะผู้ที่สามารถสั่งสอนสัตว์โลก หรือฝึกผู้ที่ควรฝึกได้ดีที่สุดคือพระพุทธเจ้า
  ขอให้พวกเราอย่ามัวเสียเวลาไปแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ไหน หรือแสวงหาที่พึ่งอื่น นอกจากพระรัตนตรัย เราเดินมาถูกทางแล้ว ให้มุ่งหน้าเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา สักวันหนึ่งเราจะถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างแน่นอน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น