(ตอน ชนะการถูกกล่าวหาจากนางจิญจมาณวิกา)
มีบทพุทธคุณสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บทที่ ๕ ว่า
“กตฺวาน กฏฺฐมุทรํ อิว คพฺภินียา
จิญฺจาย ทุฏฺฐวจนํ ชนกายมชฺเฌ
สนฺเตน โสมวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ
พระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ได้ทรงชนะคำกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา
ผู้ทำอาการเหมือนหญิงมีครรภ์ ได้ทำไม้สัณฐานกลมผูกติดไว้
ด้วยวิธีที่งดงาม คือความสงบพระทัย ในท่ามกลางมหาชน
ด้วยเดชแห่งพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน”
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ที่ทรงแก้คำครหานินทาของชาวเมืองได้ด้วยอาการสงบ ถือเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของชัยชนะที่มีความแตกต่างกันไป คือ ทรงเอาชนะการถูกกล่าวหา จากหญิงสาวชื่อว่า จิญจมาณวิกา ผู้เป็นสาวกของเดียรถีย์ พระพุทธองค์ทรงถูกกล่าวหาว่า ได้ร่วมหลับนอนกับหญิงสาวคนนี้ จนนางตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวโลกส่วนใหญ่พร้อมจะเชื่อกันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่เพราะความบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ทำให้ทรงชนะแผนการชั่วร้าย ที่พวกเดียรถีย์ได้คิดที่จะมาทำลายพระพุทธศาสนา
มีวาระพระบาลีที่ท่านกล่าวไว้ว่า
“พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา
ผู้ส่องแสงสว่างไสว ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นเพียงใด
ชนทั้งหลายพากันบูชา สมณพราหมณ์เหล่าอื่นอยู่เป็นอันมากเพียงนั้น
แต่เมื่อใด พระพุทธเจ้าผู้มีพระสุรเสียงอันไพเราะ ได้ทรงแสดงธรรมแล้ว
เมื่อนั้นลาภและสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมไป”
พวกเดียรถีย์ต่างปรึกษาหารือกันว่า “เพราะพระสมณโคดมแท้ๆ ทำให้พวกเราได้รับความเดือดร้อน ลาภสักการะที่เคยมีก็หดหายไปหมด ถ้าหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เห็นทีพวกเราคงต้องยํ่าแย่แน่ ต้องรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน”
พวกเขาช่วยกันคิดหาอุบายที่จะทำลายพระพุทธศาสนา ในที่สุดก็คิดจะใส่ร้ายพระพุทธองค์ ด้วยการใช้นางจิญจมาณวิกาเป็นเครื่องมือ
สมัยนั้น มีปริพาชิกาชื่อจิญจมาณวิกา นางเป็นหญิงรูปงาม พวกเดียรถีย์จึงคิดที่จะใช้นางเป็นเครื่องมือทำลายพระพุทธศาสนา เมื่อจิญจมาณวิกาเข้าไปในอารามของเดียรถีย์ พวกเดียรถีย์ต่างยุยงให้นางเป็นตัวแทนในการทำลายชื่อเสียงของพระพุทธเจ้า นางยอมตกลงทำตามคำแนะนำนั้น
เย็นวันนั้น พวกเขาเริ่มแผนการที่ไม่น่าเชื่อว่า สาวงามอย่างเธอจะกล้าคิด กล้าพูด และกล้าทำ ในสิ่งที่กำลังนำไปสู่การเสวยทุกข์ทรมาน อันแสนสาหัสในอเวจีมหานรก นางเดินมุ่งหน้าเข้าไปในวัดพระเชตวัน แต่งตัวเรียบร้อย ถือดอกไม้ของหอมเข้าไป สวนทางกับสาธุชนที่ฟังธรรม แล้วกำลังเดินออกจากวัด
ผู้คนเกิดความสงสัย ไต่ถามว่า “นี่เธอจะไปไหนล่ะ”
นางตอบว่า “ฉันจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า”
ครั้นลับสายตาของผู้คน แทนที่นางจะเข้าไปในวัด กลับแวะไปพักค้างที่อารามพวกเดียรถีย์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดพระเชตวันนั่นเอง
รุ่งเช้า เมื่อสาธุชนออกจากเมืองจะไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า นางทำทีเหมือนเพิ่งออกจากวัดพระเชตวัน ก็เดินสวนทางออกมา ครั้นมีผู้ถามว่า “แม่นาง เมื่อคืนเธอไปนอนที่ไหนมา”
นางตอบว่า “เมื่อคืนฉันพักอยู่ในวัดพระเชตวันนี่แหละ”
นางอดทนทำเช่นนี้อยู่เป็นเดือนๆ เมื่อถูกถามอีกก็ตอบว่า “ฉันพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระพุทธเจ้า”
พุทธบริษัทฟังแล้วเกิดความคลางแคลงสงสัย ที่เป็นปุถุชนอยู่ บางคนก็เชื่อ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูมากขึ้นทุกวัน
ล่วงไป ๓-๔ เดือน นางทำทีเหมือนเริ่มมีท้อง แล้วให้พวกเดียรถีย์ไปโพนทะนาว่า นางตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า ผ่านไป ๙ เดือน นางทำเป็นท้องแก่ โดยเอาไม้กลมวางที่หน้าท้อง แล้วเอาผ้าห่มทับอีกชั้นหนึ่ง เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน
นางเดินเข้าไปท่ามกลางมหาชน ยืนต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ พลางร้องตะโกนใส่ว่า “พระองค์น่ะ ดีแต่แสดงธรรมให้คนอื่น หม่อมฉันครรภ์แก่แล้ว ไม่เห็นมาสนใจเลย ทำไมพระองค์ไม่รีบไปหาสถานที่สำหรับคลอดลูกของเราล่ะ ถ้าหากพระองค์ไม่ทำเอง ก็น่าจะบอกอุปัฏฐากให้จัดการให้ก็ได้”
นางได้ด่าบริภาษพระตถาคตเจ้าในท่ามกลางพุทธบริษัท โดยไม่มีความละอายต่อบาปแม้แต่น้อย
พระพุทธองค์ทรงนิ่งอย่างประเสริฐ พลางตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสงบราบเรียบว่า “ดูก่อนน้องหญิง คำที่เธอกล่าวนั้น มีแต่เพียงเราและเธอเท่านั้นที่รู้” ทรงนิ่งด้วยพระพักตร์ที่เป็นปกติ มหาชนที่มีศรัทธาตั้งมั่นก็ไม่หวั่นไหว แต่ผู้ที่ยังมีอินทรีย์อ่อน เริ่มเกิดความคลางแคลงสงสัย
นางจิญจมาณวิกา ด่าบริภาษอยู่คนเดียวมิได้หยุดปาก จนเป็นเหตุให้อาสนะของท้าวสักกะเกิดอาการร้อน ทรงสอดส่องทิพยจักษุลงมา รู้ว่าหญิงงามแต่ใจทรามกำลังกล่าวตู่พระตถาคต ทรงดำริว่า “เราจะต้องเป็นผู้ชำระคดีนี้ด้วยตัวเอง”
จากนั้นก็เสด็จมาพร้อมกับเทพบุตร ๔ องค์ เทพบุตรได้แปลงเป็นลูกหนูเข้าไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ แล้วทำลมให้พัดผ้าห่มขึ้น นางมัวแต่ยืนด่าไม่ทันระวังตัว ไม้กลมที่มัดไว้ก็กลิ้งตกลงบนหลังเท้าของนาง ทำให้นางได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก
เมื่อมหาชนรู้ความจริง ต่างพากันไล่ทุบตีนางด้วยความโกรธแค้น นางตกใจมาก เพราะรู้ว่าความแตกแล้ว รีบวิ่งหนีจากการถูกรุมทุบตี ทันที ที่ลับคลองจักษุของพระพุทธองค์ไปเท่านั้น แผ่นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ไม่สามารถจะรองรับกรรมอันชั่วช้าที่นางทำไว้ จึงแยกออกเป็นช่องเปลวไฟ ตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก ดูดนางลงไปสู่อเวจีมหานรกทันที เนื่องจากกรรมที่นางก่อขึ้นในครั้งนี้เป็นกรรมหนัก คือ ไปใส่ร้ายพระบรมศาสดาผู้บริสุทธิ์ จึงได้รับผลกรรมทันตาเห็น
เรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชนะแผนนารีพิฆาต โดยมีผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใยนางจิญจมาณวิกานี้ มิใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเกิดขึ้นต่อเหล่าพระสาวกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสงฆ์ในพุทธศาสนาต้องระมัดระวังให้ดี เพราะแม้กระทั่งพระบรมศาสดายังถูกกล่าวหามาแล้ว เพราะความประสงค์ร้ายของผู้ที่อิจฉาและไม่เลื่อมใส แต่พระพุทธองค์ทรงเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นมาได้เมื่อความจริงปรากฏ เพราะความจริงก็คือความจริง บางครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี จำเป็น ต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ พระพุทธศาสนาเป็นของจริงแท้ ของแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ เหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟ
เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรากำลังสร้างบารมีอยู่นี้ เป็นธรรมดาที่เราจะต้องพบอุปสรรค
อย่าเพิ่งไปตื่นข่าว
อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ
ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี
มีสติรักษาความสงบของใจดวงนี้ไว้
ให้อภัยแก่ผู้ที่มีความเข้าใจยังไม่สมบูรณ์
รักษาใจให้ผ่องใส อย่าได้หวั่นไหว
ให้ฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง
ทำความดีของเราเรื่อยไป จนกว่าจะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น